Archive for กุมภาพันธ์ 3rd, 2013

5 สุดยอดของว่าง อาหารหัวใจ

5 สุดยอดของว่าง อาหารหัวใจ

 

อาหารเพื่อสุขภาพ

5 สุดยอดของว่างอาหารหัวใจ (Lisa)

          กินไม่เลือกระวังจะสร้างไขมันมาอุดหัวใจ ไปดูกันดีกว่าว่าของว่างอร่อย ๆ ช่วยบำรุงหัวใจมีอะไรบ้าง

แอปเปิ้ล

 แอปเปิ้ล

          เป็นความจริงที่ว่าการกินแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรงพยาบาล ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แอปเปิ้ลเป็นอันดับสองของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด (รองลงมาจากแครนเบอร์รี่) และยังมีใยอาหารชื่อเพคติน ควรทำปฏิกริยากับไฟโตนิวเทรียนท์อื่น ๆ โดย สารต้านอนุมูลอิสรนะชื่อ Quercetin พบในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ในขณะที่เพคตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล “เลว” แอปเปิ้ลยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบอีกด้วย

           Tip: แอปเปิ้ลทุกชนิดดีต่อหัวใจของคุณ แต่แอปเปิ้ลแดงจะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด
 

บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่

          เบอร์รี่ชนิดนี้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะแมงกานีส วิตามินซีและอี) ซึ่งให้การป้องกันในระดับเซลล์เลยทีเดียว นอกจากการช่วยลดคอเลสเตอรอล “เลว” พร้อมกับการเพิ่มคอเลสเตอรอล “ดี” แล้ว ไฟโตนิวเทรียนท์ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย

           Tip: บลูเบอร์รี่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด หากเป็นไปได้กินทุกวันก็ยิ่งดี ส่วนบลูเบอร์รี่แช่แข็งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยลงมา
 

ช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลต

          การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal ชี้ว่า มีอาหารเจ็ดกลุ่มที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 75 และหนึ่งในนั้นก็คือดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณโกโก้อยู่สูง โกโก้มีสารจำพวกฟลาวานอยด์ที่ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดแดงได้ จึงช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย

           Tip: กินแค่น้อย ๆ ประมาณไม่เกิน 2 ตารางนิ้วต่อครั้ง และเลือกที่มีปริมาณโกโก้เกิน 70%
 

องุ่น

องุ่น

          องุ่นมีสารอาหารปกป้องหัวใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี6 โพแทสเซียม และฟลาวานอยด์ สารอาหารเหล่านี้รวมกันจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสูบฉีดเลือด โดยเฉพาะวิตามินบี6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและความดันโลหิต

           Tip: ไม่ว่าจะองุ่นสดหรือองุ่นแช่แข็งก็มีสารอาหารเต็มเปี่ยมเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้กินเมล็ดด้วยนะ
 

อัลมอนด์

อัลมอนด์

          อัลมอนด์มีสารอาหารที่ดีต่อหัวใจมากมาย ได้แก่ ใยอาหาร วิตามินอี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยแมกนีเซียมนั้นจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ส่วนโพแทสเซียมสำคัญต่อการสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในการศึกษามากมายชี้ว่าไขมันชนิดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้

           Tip: โรยอัลมอนด์กินกับแอปเปิ้ลคู่กับเนยถั่วแบบไม่หวาน ทั้งท้องอิ่มและดีต่อหัวใจด้วยนะ

ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view36268.html

9 เคล็ดลับกินดี รักษาหุ่นสวย ช่วงวันตรุษจีน

9 เคล็ดลับกินดี รักษาหุ่นสวย ช่วงวันตรุษจีน

 

ตรุษจีน

          หลายคนคงแอบรู้สึกกังวลกับหุ่นของตัวเองเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี นั่นเพราะช่วงนี้มีอาหารอร่อย ๆ ให้เราได้อิ่มเอมฉลองวันตรุษจีนกันเพียบ แถมส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น หมู เห็ด เป็ด ไก่ ปลาหมึก และขนมต่าง ๆ ซึ่งถ้ารับประทานมากเกินไปก็ไม่ดีต่อหุ่นของเราแน่นอน 

          ว่าแล้วเราก็ขอนำเสนอเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณรักษาหุ่นสวยหลังผ่านพ้นเทศกาลอาหารอร่อย ๆ เช่นนี้ไปได้โดยไร้กังวล เอ้า…ควรปรับพฤติกรรมการกินอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย 

 1. รู้จักเลือกรับประทาน

          ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ แม้อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหมูสามชั้นทอดกรอบ ไก่ต้ม เป็ดต้ม ปลาหมึกแห้ง อาหารทะเล (พูดแล้วหิว) จะล่อตาล่อใจ แต่เราอยากจะขอให้ทุกคนจำกัดการทานเนื้อสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือของทอด เพราะอาหารพวกนี้เต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัวที่สูงมาก ๆ และไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย ถ้าอยากได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ขอแนะนำให้ทานอาหารจำพวกถั่ว เมล็ดถั่ว ที่ให้โปรตีนเหมือนกับพวกเนื้อสัตว์แทน

          ส่วนขนมทั้งหลายนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแป้งกับน้ำตาลล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนมจันอับ ขนมเข่ง ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ ก็ควรรับประทานให้น้อย ๆ (หรือไม่ทานได้เลยยิ่งดี) เพราะขนมพวกนี้แหละจะทำให้คุณอ้วนเอาได้ง่าย ๆ 

อาหารจีน

 2. ทานผักผลไม้ให้มาก ๆ 

          นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ผักผลไม้ก็เป็นอาหารสำคัญที่เห็นกันบ่อยในเทศกาลตรุษจีนเช่นกัน แถมแต่ละชนิดก็มีความหมายดี ๆ เป็นมงคลด้วยนะ อย่างเช่น 

           สาหร่ายทะเลสีดำ ออกเสียงว่า ฟัตชอย คล้ายกับความหมายที่ว่า ความมั่งคั่งร่ำรวย

           ต้นหอม เป็นสัญลักษณ์ของความราบรื่นในทุกสิ่งทุกอย่าง

           หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก 

           แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

           สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

           ส้มแมนดาริน หมายถึง โชคลาภ โชคดี ความสวัสดีมหามงคล

          เพราะฉะนั้น เน้นการรับประทานผักผลไม้ให้มาก ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนเนื้อสัตว์ทั้งหลายก็บริโภคให้น้อย ๆ หน่อยแล้วกันนะจ๊ะ

 3. อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป

          นั่นเพราะเมื่อคุณหิว คุณมีแนวโน้มที่จะทานอาหารได้เกินปริมาณที่คุณคิด หากยังไม่ถึงเวลาอาหารในตอนเที่ยง หรือตอนหัวค่ำ แต่เกิดรู้สึกหิวซะแล้ว ก็ให้หาของเพื่อสุขภาพทานในมื้อระหว่างวัน เช่น แอปเปิล กล้วย ถั่ว

 4. ดื่มน้ำมาก ๆ

          มีคำแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยิ่งในช่วงตรุษจีนนี้ก็ยิ่งควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะไปช่วยชะล้างสารพิษในอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปหลังจากกินเลี้ยงมื้อใหญ่ด้วย แน่นอนว่า น้ำที่ดีที่สุดที่แนะนำก็คือ “น้ำเปล่า” ธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ อ้อ…งานนี้ไม่นับรวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำหวานทุกชนิดนะจ๊ะ

จาน

 5. ใช้จานใบเล็ก ๆ

          ถ้าไม่อยากรับประทานอาหารอันแสนโอชะที่วางอยู่ข้างหน้ามากเกินไป เราขอแนะนำให้เลือกใช้จานใบเล็ก ๆ ซึ่งจะทำให้คุณเห็นว่าตัวเองทานอะไรไปมากแค่ไหนแล้ว และหยุดทานได้ทัน แต่หากคุณใช้จานใบใหญ่ มันยิ่งจะทำให้คุณทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้นโดยไม่ทันระวังเลยนะ

 6. เคี้ยวช้า ๆ

          ในแต่ละมื้อที่คุณทานอาหาร ขอให้ทานให้พออิ่มเพียง 70% ก็พอ วิธีง่าย ๆ ก็คือ พยายามเคี้ยวอาหารให้ช้า ๆ เพื่อให้สมองได้มีเวลาคิดสักหน่อยว่า นี่คุณอิ่มแล้วนะ จะได้สั่งการให้คุณหยุดทานได้ก่อนที่จะยิ่งทานมากไปกว่านี้ จำไว้ว่ายิ่งเคี้ยวเร็ว ยิ่งทานเยอะนะเออ

 7. ทำอาหารทานเองที่บ้าน

          ใครที่กำลังคิดจะออกไปฉลอง หรือไปหาอาหารเหลาอร่อย ๆ ทานในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ลองคิดดูดี ๆ นะคะ เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านจะยิ่งทำให้คุณได้รับแคลอรี่มากกว่าการทานอาหารที่บ้านถึง 2,000 แคลอรี่เชียวนะ นั่นเพราะหากคุณไปทานอาหารข้างนอก คุณมีแนวโน้มที่จะกินทุกอย่างที่สั่งมาให้หมดจาน (เพราะเสียดายนั่นแหละ ><) และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเผลอทานอาหารมากกว่าที่ร่างกายต้องการนั่นเอง

 8. อย่าอยู่เฉย

          การนั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ จะทำให้คุณอ้วนเอาได้ง่าย ๆ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นซะ แล้วไปออกกำลังกายกันดีกว่า ช่วงวันหยุดแบบนี้ คงจะแก้ตัวว่าไม่มีเวลาไม่ได้แล้วนะจ๊ะ อย่าลืมว่าในเทศกาลนี้ คุณอาจจะทานอาหารเข้าไปมากจนรับแคลอรี่มากเกินไป ดังนั้น ก็ถึงเวลาที่คุณต้องเบิร์นพลังงานเหล่านั้นออกมาด้วยการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้หุ่นอวบ ๆ มาเยือนได้แล้วล่ะ

 9. จัดหาอาหารเพื่อสุขภาพไว้ต้อนรับแขก

          ในช่วงตรุษจีนนี้เป็นช่วงเวลาที่บรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง จะเดินทางมาเยี่ยมเยียนอวยพรปีใหม่กันที่บ้าน และแน่นอนว่า ในฐานะเจ้าของบ้านก็จะต้องหาอาหาร และขนมไว้เลี้ยงต้อนรับแขก ซึ่งคงจะดีมากเลยล่ะ ถ้าคุณเตรียมอาหารที่มีประโยชน์เอาไว้ต้อนรับแขก อย่างเช่น สลัดผัก ผลไม้ แทนที่จะเป็นขนมหวาน ขนมเค้ก หรืออาหารอื่น ๆ ส่วนเครื่องดื่ม แนะนำให้เสิร์ฟน้ำชามะนาวเย็น ๆ เพื่อเติมพลังให้กับร่างกายแทนที่จะเลือกเสิร์ฟน้ำอัดลม หรือน้ำหวาน
 
          เป็นไงกันบ้างจ๊ะ กับ 9 ทิปส์ดี ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนกลัวอ้วนในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ยังไงก็ลองนำไปใช้กันดูน้า…

ขอขอบคุณที่มา   http://health.kapook.com/view54073.html

วันหยุดประจําปี 2556 มาแล้ว! เตรียมวางแผนเที่ยวกัน

วันหยุด 2556

           วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บ ๆ ก็เข้าสู่ช่วงส่งท้ายปี 2555 แล้ว สำหรับใครที่ต้องการวางแผนเพื่อเตรียมตัวก่อนเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งใน และต่างประเทศ หรือหากต้องการจัดตารางเพื่อพบปะสังสรรค์ระหว่างเครือญาติ และเพื่อนฝูง ทีมงานกระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวม วันหยุดประจําปี 2556 มาให้แล้ว ทั้งวันหยุดราชการ 2556 และวันหยุดธนาคาร มาฝากกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

            เดือนมกราคม

           อังคาร 1 มกราคม : วันขึ้นปีใหม่ (วันหยุดธนาคาร และราชการ)

            เดือนกุมภาพันธ์

          จันทร์ 25 กุมภาพันธ์ : วันมาฆบูชา (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 

            เดือนเมษายน

          เสาร์ 6 เมษายน : วันจักรี  (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          จันทร์ 8 เมษายน : ชดเชยวันจักรี
          เสาร์-จันทร์ 13-15 เมษายน : วันสงกรานต์ (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          อังคาร 16 เมษายน : ชดเชยวันสงกรานต์ 
 

            เดือนพฤษภาคม

          พุธ 1 พฤษภาคม : วันแรงงานแห่งชาติ (วันหยุดธนาคาร) 
          อาทิตย์ 5 พฤษภาคม : วันฉัตรมงคล (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          จันทร์ 6 พฤษภาคม : ชดเชยวันฉัตรมงคล 
          จันทร์ 13 พฤษภาคม :วันพืชมงคล (วันหยุดราชการ)
          ศุกร์ 24 พฤษภาคม : วันวิสาขบูชา (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 

            เดือนกรกฎาคม

          จันทร์ 1 กรกฎาคม : วันหยุดครึ่งปีธนาคาร 
          จันทร์ 22 กรกฎาคม : วันอาสาฬหบูชา (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          อังคาร 23 กรกฎาคม : วันเข้าพรรษา (วันหยุดราชการ)

            เดือนสิงหาคม

          จันทร์ 12 สิงหาคม : วันแม่แห่งชาติ (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 

            เดือนตุลาคม

          พุธ 23 ตุลาคม : วันปิยมหาราช (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 

            เดือนธันวาคม

          พฤหัสบดี 5 ธันวาคม : วันพ่อแห่งชาติ (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          อังคาร 10 ธันวาคม : วันรัฐธรรมนูญ (วันหยุดธนาคาร และราชการ) 
          อังคาร 31 ธันวาคม : วันสิ้นปี (วันหยุดธนาคาร และราชการ)

           เมื่อดูปฏิทินวันหยุดในข้างต้นนี้แล้ว ก็จะทำให้เราสามารถเตรียมตัวเพื่อวางแผนสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีปัญหากระทบกับการเรียน หรือการทำงานหรือไม่ เพราะปฏิทินวันหยุด 2556 มีวันหยุดยาวติดกันแบบ Long Weekend อยู่ถึง 9 ครั้ง ส่วนจะมีวันไหนของเดือนไหนบ้างนั้น ลองมาดู วันหยุดยาว ปี 2556 กันเลยจ้า

วันหยุด 2556

           หวังว่า ปฏิทินวันหยุดปี 2556 นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน และขอให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมในช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึงนี้กันอย่างสนุกสนานนะจ๊ะ

 

ขอขอบคุณที่มา  http://hilight.kapook.com/view/77845

เตือนกินกาแฟลดน้ำหนัก ผสมไซบูทรามีน เสี่ยงหัวใจวาย

 

                         เตือนกินกาแฟลดน้ำหนัก ผสมไซบูทรามีน เสี่ยงหัวใจวาย

 

 
เตือนกินกาแฟลดน้ำหนัก ผสมไซบูทรามีน เสี่ยงหัวใจวาย
 
         ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เตือนคนอยากผอมให้ระวัง กาแฟลดน้ำหนัก หลังจากประเทศเยอรมันตรวจพบสารไซบูทามีน ในกาแฟลดน้ำหนักของประเทศไทย

         สืบเนื่องจากการเผยแพร่ข่าวของประเทศเยอรมันว่า ตรวจพบสารไซบูทามีน ในกาแฟลดน้ำหนักจากประเทศไทย ดังนั้น เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ จึงออกมาเตือนผู้บริโภคในไทยให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อกาแฟลดน้ำหนัก เนื่องจากเสี่ยงต่อการพบสารต้องห้ามโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ จากการทดสอบกาแฟลดน้ำหนักที่เผยแพร่ลงในนิตยสารฉลาดซื้อ ประจำเดือนมีนาคม 2555 ฉบับที่ 133 ซึ่งมีหัวข้อว่า กาแฟลดน้ำหนักได้จริงหรือ!! โดยรายงานถึงผลการศึกษาว่า กาแฟที่ลดน้ำหนักได้นั้น คือกาแฟที่มีส่วนผสมของยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในอาหารทุกประเภท โดยสารดังกล่าวมีชื่อว่า “ไซบูทรามีน”

         ซึ่งก่อนหน้านี้ สารไซบูทรามีนถือเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน ที่ป่วยจริง ๆ ไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองหุ่นไม่ดีแล้วอยากจะลดน้ำหนัก แต่เพราะความรุนแรงของสารตัวนี้มีผลถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดทำงาน ซึ่งการที่มีผู้ไม่หวังดีนำสารไซบูทรามีนไปใส่ในอาหารเสริมแล้วอ้างสรรพคุณว่า ดื่มแล้วช่วยให้น้ำหนักลดได้ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมากทำให้ อย. ต้องตัดสินใจประกาศยกเลิกตำรับยาชนิดนี้

         แต่ปัจจุบันยังมีคนนำสารไซบูทรามีนมาใส่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แล้วอ้างว่าช่วยลดความอ้วน อย่างที่ อย. เคยตรวจพบในกาแฟสำเร็จรูปนำเข้าจากจีนยี่ห้อ Zhengdian Splrultna Slimming Coffee เมื่อ พ.ศ. 2554 ดังนั้นผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงทั้งการดื่มกาแฟและผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่า ช่วยทำให้น้ำหนักลดทุกชนิด เพราะอาจเสี่ยงอันตรายโดยไม่รู้ตัว

         อย่างไรก็ตาม ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ จึงขอเตือนผู้บริโภคว่า อย่าซื้อกาแฟลดน้ำหนัก ตามคำกล่าวอ้างสรรพคุณว่าช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็วทันใจ เพราะอาจทำให้หัวใจหยุดทำงานได้ และหากผู้บริโภคไม่แน่ใจว่ากาแฟลดน้ำหนักที่ผู้บริโภคจะซื้อหามาทานนั้นจะมีสารไซบูทามีนหรือไม่ สามารถสอบถาม หรือแจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ที่เบอร์ 0-2248-3737  หรือเฟซบุ๊ก นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 
ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view55531.html

ลุยปาร์ตี้จัดหนัก! แบบนี้ต้องพึ่งอาหารเสริม

                                 ลุยปาร์ตี้จัดหนัก! แบบนี้ต้องพึ่งอาหารเสริม

 

ปาร์ตี้

ลุยปาร์ตี้จัดหนัก! ต้องกิน (Lisa)

          ปาร์ตี้ก็สนุกดีหรอกนะ แต่ทั้งนอนดึกเที่ยวหนัก ดื่มแอลกอฮอล์ และยังสารพัดของกินยั่วใจอีกมากมาย ถ้าไม่อยากดื่มขึ้นมาส่องกระจกแล้วกลัวตัวเองหรือร่างกายกรีดร้องไม่ไหวจะเคลียร์กับงานที่รออยู่ Lisa ขอเสนอสารพัดของกินที่สาวกปาร์ตี้คู่ควร

วิตามิน-อาหารเสริมพวกนี้…ห้ามพลาด

          แน่นอนว่าทั้งการอดนอนแล้วก็สารพัดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทั้งหลายไม่ดีต่อสุภาพร่างกายชัวร์ ๆ แต่ถ้าในเทศกาลจะมีบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาเถอะ นพ.ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จากโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เลยมีลิสต์วิตามินมาแนะนำให้สาว ๆ หามากินซะ จะได้ไม่ต้องทรมานโอดโอย 

           วิตามินบีรวม : ช่วยบำรุงประสาท ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นหลังจากผจญภัยมาอย่างหนักทั้งคืน (หรืออาจจะหลายคืน)

           วิตามินซี (1,000-3,000 มก./วัน) : พักผ่อนไม่เพียงพอภูมิคุ้มกันร่างกายก็ไม่ค่อยดีเสริมวิตามินซีเข้าไปสักหน่อยก็ดีครับ นอกจากระบบภูมิต้านทานจะดีขึ้นแล้วยังช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนของผิวด้วย

           กรดอัลฟ่าไลโปอีก แอซิด (50-150 มก./วัน) : สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภาพของกลูตาไธโอนในการขจัดสารพิษออกจากตับ ใครที่ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ อย่าลืมกินตัวนี้เข้าไปดูแลตับด้วยนะ

           เอ็น อะเซติล ซิสเตอีน หรือ NAC (600 มก./วัน) : กรดอะมิโนตัวนี้เป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอนครับ เป็นอีกตัวหนึ่งที่จะช่วยบำรุงสุขภาพตับให้ดีขึ้นหลังจากทำงานหนัก เมื่อเผชิญกับฤทธิ์แอลกอฮอล์

           แมกนีเซียม (250-500 มก./วัน) : พักผ่อนไม่เพียงพอทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาทก็ตึงเครียด เสริมแร่ธาตุนี้เข้าไปช่วยผ่อนคลายสักนิดแล้วจะรู้สึกสบายขึ้นเยอะเลย

           สารพัดสารต้านอนุมูลอิสระ : จะเป็นสารสกัดจากชาเขียวหรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นก็ได้ ขจัดอนุมูลอิสระที่ออกมาลั้ลลากันเต็มร่างกาย จะได้ไม่รู้สึกหน้าแย่ ทรุดโทรม

ปาร์ตี้

Smart Party ไม่ต้องมากรี๊ดทีหลัง

          ไม่ใช่ว่าหลังปาร์ตี้ค่อยกลับมาดูแลสุขภาพทีเดียว ระหว่างปาร์ตี้สาว ๆ ก็ดูแลตัวเองได้ พ.ท.นพ.ณัฏฐ์พีรยช มรกตพรรณ หัวหน้าแพทย์ประจำศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 3 ฝากมาเตือนว่า พอสุขภาพย่ำแย่แล้วมารักษามันลำบากกว่ากันไว้ก่อนเยอะ

           อย่าอดแล้วค่อยไปกิน เวลาที่ท้องคุณหิวมาก ๆ อาการตามใจปากจะตามมา กลายเป็นกินเยอะเกินควร รู้สึกตัวอีกทีไขมันก็พุ่งพรวดแล้ว ทางที่ดีซัดอาหารโปรตีนไปสัก 2 ชั่วโมงก่อนปาร์ตี้ แล้วจะคุมปากตัวเองได้ง่ายขึ้น

           ระวังความสะอาด ช่วงเวลาที่คนเที่ยวกันเยอะ แบบนี้อาจหาร้านยากสักหน่อย แต่ก็อย่าเลือกส่ง ความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ ของสุก ๆ ดิบ ๆ ร้านดูท่าทางสกปรก น้ำแข็งมีฝุ่นดำ ๆ ปนมา อย่าไปกิน! ต้องมานอนเล่นโรงพยาบาลรับปีใหม่คงไม่สนุกแน่ ๆ

           มิกซ์น้ำเปล่าดีที่สุด หากอยากดื่มพวกแอลกอฮอล์ก็ชงให้จาง ๆ เข้าไว้ แล้วมิกซ์กับน้ำเปล่าได้ไม่ดื่มมาก เพราะหากมิกซ์กับน้ำอัดลมมันหวานจะดื่มเยอะ เมาง่ายแล้วน้ำตาลก็พุ่งปรี๊ดด้วย

           มีโรคประจำตัว…งดดริงก์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำให้ยาออกฤทธิ์เร็วกว่าที่ควร โดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวาน ตับอักเสบ และไขมันเกาะตับ กินเข้าไปจะน้อยนิดแค่ไหนอาการคุณก็ทรุดได้ง่าย ๆ ทั้งนั้น

           ตรวจสุขภาพกันบ้าง หลังปาร์ตี้สักสองสัปดาห์น่าจะถือโอกาสตรวจสุขภาพประจำปีเสียเลยครับ จะได้รู้ว่าคุณมีความเสี่ยงจะเกิดโรคอะไรที่ควรเตรียมตัวป้องกันแต่เนิ่น ๆ แล้วก็จะไม่รู้ว่าปาร์ตี้ที่ผ่านมาคุณ “สมาร์ท” ขนาดไหน

          Note! : ถึงจะเสริมวิตามินเข้าไปมากมายสาว ๆ ก็อย่าลืมรับประทานอาหารจริง ๆ ด้วย คุณหมอไพศิษฐ์แนะนำว่า หลังจากดื่มมาหนัก ๆ นอกจากดื่มน้ำให้เยอะแล้ว อาหารมื้อแรกควรเป็นผักสด ๆ หลากสีสักครึ่งจาน ข้าวซ้อมมือสัก 1 ใน 4 ส่วน ที่เหลือก็เป็นโปรตีนจากเนื้อปลา ไข่ขาว หรือถั่วเหลืองก็ได้…จัดไป!

ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view55414.html

เพิ่มภูมิคุ้มกันในฤดูหนาว ด้วยเคล็ดลับดี ๆ แบบนี้

เพิ่มภูมิคุ้มกันในฤดูหนาว ด้วยเคล็ดลับดี ๆ แบบนี้

เป็นหวัด

คำแนะนำเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในฤดูหนาว (อาหารและสุขภาพ)

          ฤดูหนาวมาเยือนอีกครั้ง พร้อมทั้งอาการคัดจมูก มึนศีรษะ และอาการอื่น ๆ อีกมากมาย..นี่แหละหน้าหนาว! Kristi Lees จะมาบอกวิธีเอาชนะโรคฤดูหนาวด้วยวิธีธรรมชาติ

          วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงในหน้านี้ก็คือเร่งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าเราทำให้ร่างกยอยู่ในสภาพแข็งแรงเสมอ เราก็จะปลอดจากอาการเหล่านี้ตลอดฤดู

 เพิ่มความต้านทาน

          ระบบภูมิคุ้มกันของเราจำเป็นสำหรับสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยร่างกายเราในการรักษาตั้งแต่แผลถลอกเล็กน้อยไปจนถึงต่อสู้กับไวรัสที่ร้ายแรง ในขณะที่พวกเราส่วนมากมักจะป่วยเป็นหวัดสักปีละครั้งสองครั้ง แต่ถ้ามีอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย ๆ นั่นแสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราไม่แข็งแรงแล้ว เคธี่ ฟอสเตอร์ นักธรรมชาติบำบัดจากเมลเบิร์นกล่าวว่า “จำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้ออยู่เรื่อย ๆ รวมทั้งโรคร้ายแรงอื่น ๆ”

          ความเครียด, โภชนาการที่ไม่ดี, การทำงานหนักไป, นอนหลับไม่เพียงพอ, กาแฟ, แอลกอฮอล์, และมลภาวะ เรื่องพื้น ๆ ทั่วไปในชีวิตที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลง ชีวิตสมัยใหม่ทำให้ร่างกายของเราถูกทำลาย และหากเราไม่ทำให้สมดุลก็จะไปมีผลต่อสุขภาพ

          “ความเครียดทำให้ต่อมอะดรีนัลหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นออกมา” เคธี่กล่าว “การมีฮอร์โมนนี้มากเกินไปจะไปทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงแล้วทำให้ต่อมไทมัส ซึ่งคอยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันหดเล็กลง ยิ่งเครียดมากขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งไปกดภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น”

 หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่เป็นสารสังเคราะห์

          บ่อยครั้งที่เรารู้สึกอ่อนเพลีย เราก็มักจะหันไปหากาแฟเพื่อทำให้เราอบอุ่น และทำให้มีเรี่ยวแรง แต่หากคุณจริงจังกับสุขภาพที่แข็งแรงในฤดูร้อนก็ต้องหันมาใช้ทางเลือก กาแฟทำปฏิกิริยากับร่างกายคล้ายกับความเครียด คือมันกระตุ้นต่อมอะดรีนัลมากเกินไป ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

          คุณอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ให้อาหารกับโรคหวัด…” ซึ่งพอพูดถึงน้ำตาล มันก็คือสิ่งนี้แหละ

          เคธี่ กล่าวว่า “การบริโภคน้ำตาล แม้จะมาในรูปน้ำผึ้งหรือน้ำผลไม้ ก็ทำให้นิวโทรฟิล ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่คอยกินและทำลายแบคทีเรียทำงานผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ” เพื่อจะช่วยภูมิคุ้มกัน เคธี่ แนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลในทุกรูปแบบและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีเป็นเวลา 3 ถึง 4 วัน ตลอดช่วงที่มีการติดเชื้อ นี่เป็นการให้เวลาแก่ร่างกายในการมุ่งไปยังการต่อสู้กับการติดเชื้อโดยไม่ต้องไปรับมือกับน้ำตาลที่คอยกดภูมิคุ้มกันอยู่อีกทาง แอลกอฮอล์ก็มีผลกับร่างกายในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นควรงดดื่มสุราจนกว่าจะหายจากหวัด 100 เปอร์เซ็นต์เสียก่อน

สุขภาพดี

 สุขภาพที่ดีในขวด

          ก่อนที่จะคิดไปถึงอาหารเสริม เอ็มม่าสโกราคิส โภชนาการจากซิดนีย์ก็ให้เคล็ดลับแก่เราอย่างหนึ่ง

          “ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นมากกว่าแค่การพึ่งพาวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ” เธอกล่าว “หากค่า pH (สมดุลกรดและด่าง) ในร่างกายเสียสมดุลไป เท่ากับเราไปสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้จุลชีพและแบคทีเรียที่ไม่ดีต่อร่างกายเจริญเติบโต และของเสียของมันก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง”

          ร่างกายมีระดับ pH ที่ดีต่อสุขภาพอยู่ในระดับหนึ่งซึ่งทำให้ร่างกายทำงานได้ดีที่สุด หากมีความเป็นกรดมากเกินไป ก็จะเกิดสภาพภายในที่ไม่ดีต่อสุขภาพแล้วทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอในที่สุด

          เอมม่า แนะนำว่า เมื่อคุณป่วยแล้ว การจะให้มีสุขภาพดีไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พบได้ในขวด แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ต้องกระทำในแบบองค์รวมไปด้วยกันทั้งหมด

          “ให้แน่ใจว่าฝึกพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่นหายใจลึก ๆ, พักผ่อน, ออกกำลังกายเบา ๆ ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์, และได้รับแสงแดดเป็นประจำเมื่อมีโอกาส” เธอกล่าว “นอกจากนี้ ให้รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักใบเขียว, น้ำผัก และผลไม้สดกับผักสดให้มากขึ้น”

เอ็มม่า แนะนำให้รับประทานมะนาว และกระเทียมสำหรับฤดูหนาว

          “มะนาวทำให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง และช่วยอาการหวัด, แสบคอ, และอาการไอได้อย่างดีเยี่ยม” เธอกล่าว นอกจากนี้มะนาวยังมีวิตามิน ซี สูงด้วย

          “กระเทียมใช้ต่อต้านแบคทีเรีย, ไวรัส และเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดีสำหรับไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่, หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และไซนัสอักเสบ” นั่นหมายความว่าดีเยี่ยมสำหรับทั้งการป้องกันและรักษาหวัด

อาหารเพื่อสุขภาพ

 สารอาหารสำหรับฤดูหนาว

          ทั้งเคธี่และเอ็มม่าเห็นพ้องกันว่า อาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี, น้ำตาล, อาหารนม และการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลง ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด สารอาหารสำคัญสำหรับช่วงนี้ของปีได้แก่ วิตามินเอ, ซี, อี, ดี, บี 6 และสังกะสี

 วิตามินเอ

          “วิตามินเอ เพิ่มความต้านทานต่อการติดเชื้อโดยเพิ่มการสร้างแอนติบอดี้” เอ็มม่ากล่าว แหล่งวิตามินเอ จากธรรมชาติ ได้แก่ แครอท, ผักใบเขียว และอัลมอนด์

 วิตามินซี

          วิตามินซี มีหน้าที่มากมายในการต่อต้านการติดเชื้อ เมื่อเราป่วย ร่างกายของเราจะใช้วิตามินชนิดนี้ในปริมาณสูง ดังนั้นเราจึงต้องให้ร่างกายได้รับอย่างเพียงพอทุกวัน นี่สามารถทำได้โดยรับประทานส้ม, มะนาว, มะนาวผลใหญ่, และเบอร์รี่ต่าง ๆ หรือรับประทานในรูปอาหารเสริม

 วิตามินอี

          “วิตามินอี เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่สำคัญสำหรับสุขภาพ และในคนที่มีวิตามินอยู่สูงในเลือดจะมีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันดี” เคธี่ กล่าว “วิตามินนี้ช่วยป้องกันเซลล์เม็ดเลือดขาว อาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ ผลกีวี, กล้วย และเมล็ดดอกทานตะวัน”

 วิตามินดี

          เอ็มม่า กล่าวว่า วิตามินดี ก็เป็นสารอาหารสำคัญที่ควรอยู่ในวิจารณญาณ

          “วิตามินนี้มีความสำคัญในการกำกับ และควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน” เธอกล่าว “แล้วยังช่วยการดูดซึมของแร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่จำเป็นต่อภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง”แสงแดดเป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารนี้อาหารที่มีวิตามินนี้ได้แก่ เมล็ดพืชงอกต่าง ๆ, ไข่แดง และปลาทะเลน้ำลึกที่มีน้ำมัน

 สังกะสี

          สังกะสีช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันและพบได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมทั้งผักจากทะเล, อะโวคาโด, เมล็ดงา และเมล็ดฟักทอง

          เคธี่ กล่าวว่า “มันเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับภูมิคุ้มกันเพราะมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลไกหลายอย่าง”

 วิตามินบี 6

          เคธี่ กล่าวว่า “บี 6 มีหน้าที่สำคัญในการแบ่งตัวของเซลลฺและจำเป็นในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงสำหรับระบบภูมิคุ้มกัน” อาหารที่มีวิตามิน บี 6 ได้แก่ กระเทียมสด, วอลนัท และธัญพืชขัดสีน้อย

 โปรไบโอติคส์
          
          โปรไบโอติคส์ เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร จำเป็นในการทำให้ร่างกานสมดุลและทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีที่สุด ฮิปโปเครติสยังกล่าวเลยว่า “ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มต้นที่ลำไส้” โยเกิร์ตธรรมชาติเป็นแหล่งโปรไบโอติคส์ที่ดี

 สมุนไพร

          สมุนไพรบางชนิดเช่น โกลเด้นชีล, แอสทรากัลส์, เอ็คไคเนเซีย, โสม, กิงโก้ หรือ แปะก๊วย, เซ็นต์จอห์นสเวิร์ต และใบมะกอกน่าจะนำมาพิจารณา สามชนิดแรกมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกัน พวกนี้ช่วยภูมิคุ้มกันและดีสำหรับการต่อสู้กับการติดเชื้อ ส่วนโกลเด้นชีล, แอสตรากัลส์ และเอ็คไคเนเซียสามารถใช้ได้ทั้งก่อนหรือหลังการป่วยเมื่อไรก็ได้ เอ็คไคเนเซียจะเป็นสมุนไพรที่รู้จักกันมากที่สุด

          เคธี่กล่าวว่า “เอ็คไคเนเซียลดโอกาสการติดเชื้อของผู้ที่มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่ายลง”

          “โสมช่วยในรายที่ต่อมอะดรีนัล อ่อนแรง สมุนไพรนี้กระตุ้นและช่วยเกลาการทำงานของระบบ” อย่างไรก็ดี เธอเตือนให้ระวัง หลีกเลี่ยงการใช้ในช่วงที่ติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน

          แปะก๊วย หรือกิงโก้ และใบมะกอกล้วนมีชื่อเสียงว่าเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ เคธี่ กล่าวว่า “ป้องกันต่อมและเซลล์ต่าง ๆ ของระบบภูมิคุ้มกัน”

          เซ็นต์จอห์นสเวิร์ตก็เป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับช่วงฤดูหนาว ไม่เพียงแต่ช่วยอารมณ์ที่ตกต่ำ แต่ยังมีคุณสมบัติต่อต้านไวรัส เคธี่ กล่าวว่าประโยชน์ที่ได้จากมันก็คือ “ผลในการทำให้รู้สึกสงบและซ่อมสร้างระบบประสาท” ผลผสมผสานที่ได้เหล่านี้ช่วยลดผลของความเครียด ดังนั้นจึงมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วย

สุขภาพดี

เคล็ดลับ 5 ประการสำหรับภูมิคุ้มกันจากเคธี่

          1. รับประทานเอ็คไคเนเซีย และวิตามินซี กับ สังกะสี โดยเฉพาะช่วงเดือนที่อากาศเย็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ทำให้เราต้านทานได้ดีขึ้น

          2. บำรุงแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะเป็นการดีหากเราเตรียมตัวเสียก่อนที่จะเข้าฤดูหนาว ตัวอย่างเช่น ให้รับประทานอาหารเพื่อล้างพิษ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารได้ซ่อมแซมและหล่อเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียที่ดี ช่วยให้ร่างกายต่อต้านหวัดและหวัดใหญ่ในฤดูหนาวได้ดี

          3. ดื่มซุปไก่ (ควรเป็นไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติหรือออร์แกนิค) การวิจัยแสดงให้เห็นว่า การรักษาแบบพื้นบ้านดั้งเดิมนี้ช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันดีขึ้น ในระหว่างการติดเชื้อการดื่มซุปไก่ยังช่วยเพิ่มระดับสารอาหารในร่างกายด้วย

          4. นอนหลับให้สนิท การนอนหลับอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในการจัดการกับความเครียดและการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในช่วงเวลาที่หลับลึกที่สุด ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารต่าง ๆ ออกมาและการทำงานของภุมิคุ้มกันหลายอย่างจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

          5. โภชนาการที่ดี ให้รับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน, โปรตีนคุณภาพดี, ผักและผลไม้สด, และหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการขัดสี, น้ำตาล และอาหารมัน ๆ เหล่านี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง

ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view55505.html

5 สารอันตราย ภัยร้ายที่แฝงในอาหารตรุษจีน

5 สารอันตราย ภัยร้ายที่แฝงในอาหารตรุษจีน

อาหารตรุษจีน



          อาหารมากมายที่เราซื้อหามาประกอบพิธีเซ่นไหว้ในตรุษจีนนั้น ก็ต้องระวังไม่ต่างจากอาหารทั่วไปด้วยค่ะ โดยเฉพาะอาหารบางชนิดที่อาจมีสารอันตรายปะปนมากับความอร่อยของจานนั้นโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ทางสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ออกมาเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง 5 สารอันตรายที่อาจจะปนเปื้อนในอาหารซึ่งพบได้บ่อยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบด้วย

 1.ฟอร์มาลิน

          เป็นสารเคมีมีพิษ มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน บ่อยครั้งถูกนำไปใช้แช่ผัก แช่ปลา แช่เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพื่อรักษาความสด แต่จริง ๆ แล้ว สารฟอร์มาลินนี้ หากแค่สัมผัสมากเกินไปก็เกิดพิษได้แล้ว ถ้าดม หรือหายใจเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระคายเคืองตา และระบบทางเดินหายใจ ทำให้คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง นอนไม่หลับ มีน้ำตาไหล เพลีย เพราะฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไปจะมีผลร้ายแรงมากขนาดไหน โดยมีข้อมูลระบุว่า หากรับประทานเข้าไปเกิน 60-90 ซีซี จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย เพราะจะมีอาการแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เกิดแผนในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ส่งผลต่อตับ ไต สมอง ฯลฯ

          ทั้งนี้ หากซื้อผักสด หรือเนื้อสัตว์มาแล้วสงสัยว่ามีการแช่ฟอร์มาลิน ให้ลองดมกลิ่นของสดนั้นดู และตรวจดูว่า ผักและเนื้อสัตว์มีลักษณะแข็งผิดปกติหรือไม่ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ควรล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนนำมาประกอบอาหาร เพื่อล้างพิษสารฟอร์มาลิน

 2.บอแรกซ์

          บอแรกซ์ หรือ น้ำประสานทอง สารนี้ได้ยินบ่อยว่าถูกผสมในอาหารจำพวกลูกชิ้น เพื่อให้ลูกชิ้นเด้งกรอบ แต่ในเทศกาลตรุษจีนนี้ อาหารที่เสี่ยงต่อการผสมบอแรกซ์ก็คือพวกขนมตรุษจีนทั้งหลาย เช่น ขนมฟักแห้ง ที่เคี้ยวแล้วกรุบกรอบ อาจเป็นเพราะผู้ผลิตบางรายผสมสารชนิดนี้ลงไปก็เป็นได้ นอกจากนี้ ยังพบการนำสารบอแรกซ์มาผสมน้ำ ใช้รดผัก หรืออาหารทะเล ก่อนวางจำหน่าย เพื่อนำให้อาหารดูสด น่าเลือกซื้ออีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม สารบอแรกซ์ ถือเป็นสารพิษอันตรายที่ถูกสั่งห้ามนำมาผสมในอาหาร โดยหากบริโภคเข้าไปเพียง 0.1-0.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (เช่น น้ำหนัก 50 กิโลกรัม บริโภคเข้าไป 5-25 กรัม) ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้แล้ว เพราะจะทำให้กรวยไตอักเสบ ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ ปวดท้อง อาเจียน คลื่นไส้ ตับถูกทำลาย จนถึงชัก หมดสติ 

          วิธีเลี่ยงก็คือ ไม่ควรทานอาหารที่มีลักษณะหยุ่นกรอบนานผิดปกติ และควรล้างเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาให้สะอาดก่อนนำไปหั่น หรือสับ แต่หากรับประทานบอแรกซ์เข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปมาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์

ขนม ตรุษจีน

 3.สารกันรา

          สารกันรา หรือ สารกันบูด เรียกอีกชื่อว่า กรดซาลิซิลิค เป็นสารอาหารที่ อย. ห้ามใช้ แต่ก็มีผู้ลักลอบนำไปดองผักผลไม้ให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ หากบริโภคเข้าไปจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้เป็นแผล ทำให้ความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ โดยกรดซาลิซิลิคถ้าเข้าสู่ร่างกาย 25-35 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิตร จะทำให้อาเจียน หูอื้อ มีไข้ จนถึงแก่ชีวิตได้ 

          หากไม่อยากเผชิญกับสารกันราในอาหารต้องทำอย่างไร? แนะนำให้เลือกซื้ออาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ ไม่ควรบริโภคอาหารจำพวกหมักดอง หากจะบริโภคควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

 4.สารฟอกขาว

          สารฟอกขาว หรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย และเป็นสารกันหืน ปกตินำไปใช้ฟอกแห อวน เครื่องหนัง กระดาษ แต่ก็มีแม่ค้าพ่อค้าบางคนนำมาฟอกอาหารให้มีสีขาว ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พบได้ในอาหารอย่าง ถั่วงอก เต้าหู้ หน่อไม้จีน ขิงซอย กระท้อน และเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอาการอักเสบบริเวณอวัยวะที่ได้สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร แน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน และอาจเสียชีวิตได้ถ้าบริโภคเกิน 30 กรัม 

          ทั้งนี้ หากใครกิน หรือกลืนสารฟอกขาวเข้าไป ขอให้รีบล้างปากด้วยน้ำ และนำไปส่งแพทย์โดยเร็ว หากสัมผัสถูกผิวหนัง หรือ ตา ให้ใช้น้ำสะอาดในปริมาณมาก ๆ ฉีดล้างทำความสะอาดทันที อย่างน้อย 15 นาที ถอดเสื้อผ้ารองเท้าที่เปรอะเปื้อนสารประเภทนี้ออกให้หมด แล้วรีบไปพบแพทย์

โต๊ะจีน

 5.ยาฆ่าแมลง

          เพื่อให้ผักผลไม้สวย ไร้แมลงไต่ตอม ทำให้ชาวสวนบางคนนำยาฆ่าแมลงมาฉีดพ่นพืชที่ปลูกไว้ แต่ยาฆ่าแมลงทุกชนิดถือว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยหากได้รับยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อสั่น ชักกระตุก หายใจขัด หมดสติ และอาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ 

          เพื่อหลีกเลี่ยงยาฆ่าแมลงที่แฝงมาในผักผลไม้ ควรล้างผักให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำไปปรุงอาหาร โดยวิธีที่ดีที่สุดคือ ให้แช่ผักนาน 15 นาที ในกะละมังที่ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร และโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดสารพิษได้มากถึงร้อยละ 90-95 หรือถ้านำผักไปแช่ในน้ำ 2 ลิตร ผสมน้ำส้มสายชู 250 ซีซี แช่ไว้นาน 5 นาที ก็จะช่วยลดสารพิษได้เกือบหมด

          เห็นพิษร้ายของสารพิษทั้ง 5 ชนิดแล้ว ก่อนเลือกซื้ออาหารสด อาหารแห้ง ไปไหว้ตรุษจีนปีนี้ ก็อย่าลืมตรวจสอบให้ดี ๆ นะคะ จะได้รับประทานอาหารตรุษจีนได้ปลอดภัยไร้กังวล

ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view54218.html

ฉลาดกิน สิ้นโรค

           Meat & Eat ฉลาดกิน สิ้นโรค

เนื้อสัตว์

Meat & Eat ฉลาดกิน สิ้นโรค (Health&Cuisine)

กินเนื้อสัตว์ให้เป็น

           เนื้อวัว เนื้อวัวแต่ละชนิดมีคุณภาพต่างกัน เนื้อวัวพันธุ์พื้นเมืองของไทย จะมีไขมันแทรกทั้งในเนื้อและระหว่างก้อนกล้ามเนื้อน้อยมาก สัมผัสจึงไม่นุ่มเท่าวัวขุน โดยเฉพาะวัวขุนโพนยางคำที่มีปริมาณไขมันมากกว่าถึง 10-15 เท่า ส่วนโปรตีนนั้นไม่แตกต่างกัน เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ที่สำคัญเนื้อวัวยังเป็นแหล่งอุดมธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและสมองเสื่อมอีกด้วย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานเนื้อวัว ขอแนะนำให้รับประทานเนื้อสันส่วนบน (Top Sirloin) เพราะเป็นส่วนที่มีไขมันต่ำสุดเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ

           เนื้อหมู ต้องมีสีชมพูอ่อน สด กดแล้วไม่บุ๋ม ถ้าเนื้อมีสีแดงแสดงว่ามาจากหมูแก่ เหนียวและเคี้ยวยาก ส่วนที่ดีที่สุดของหมูคือ สันใน และส่วนที่มีไขมันมากที่สุดรองจากสามชั้น ได้แก่ เนื้อซี่โครงและคอ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจในการเลือกเนื้อหมูว่า หมูที่ไม่ผ่านการใช้สารเร่งเนื้อแดง จะมีสัดส่วนของชั้นไขมัน 2 ส่วนต่อชั้นเนื้อ 1 ส่วน นอกจากนี้เนื้อหมูยังให้คุณค่าทางโภชนาการอื่นอีกมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่วิตามินบี 1 วิตามินเอ ไนอาซิน และฟอสฟอรัส

           เนื้อไก่ จัดเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพเพราะมีแคลอรี่ต่ำ มีคุณสมบัติดูดซับเครื่องปรุงได้ดี เมื่อนำมาประกอบอาหารจึงมีรสชาติดีกว่าเนื้อสัตว์อื่น ๆ สำหรับผู้ที่รักการรับประทานเนื้อไก่ แนะนำให้เลือกใช้ส่วนอก เพราะมีโปรตีนสูงกว่าส่วนอื่น แต่ให้ไขมันต่ำเพียง 8.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่มีไขมันมากและควรหลีกเลี่ยง คือ สะโพกและปีก เพราะมีไขมันถึง 16.5 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งส่วนคอ เพราะมีสารตกค้างและยาปฏิชีวนะหลงเหลืออยู่มาก

           อาหารทะเล ในบรรดาอาหารทะเลทั้งหมด ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดีที่ย่อยง่าย เหมาะกับคนทุกวัย มีไขมันต่ำ ปลาทะเลจัดเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า- 3 ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และดี รวมทั้งแคลเซียม ไอโอดีนและธาตุเหล็กด้วย ส่วนกุ้ง หอย ปูและหมึก ต่างมีกรดไขมันโอเมก้าสูงเช่นเดียวกับปลา แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงมากเช่นกัน ไม่แนะนำให้รับประทานเป็นประจำค่ะ 

ทำความเข้าใจกับโปรตีน

          แม้โปรตีนจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้แต่ละคนต้องการโปรตีนในปริมาณไม่เท่ากัน ดังนี้

             อายุและเพศ เด็กต้องการโปรตีนสูงกว่าผู้ใหญ่ เพราะต้องนำไปใช้ในการเจริญเติบโต จากสถิติพบว่า เพศชายมีความต้องการโปรตีนมากกว่าเพศหญิง ด้วยขนาดร่างกายและความต้องการใช้พลังงานในแต่ละวันที่มากกว่า มาดูปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคต่อวันกันเลยค่ะ
          
                     เนื้อสัตว์ 6 ช้อนกินข้าวต่อวัน (มื้อละ 2 ช้อนกินข้าว) สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบถึง 13 ปี ผู้หญิงวัยทำงานอายุ 25-60 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

                     เนื้อสัตว์ 9 ช้อนกินข้าวต่อวัน (มื้อละ 3 ช้อนกินข้าว) สำหรับวัยรุ่นหญิง-ชายอายุ 14 ถึง 25 ปี และชายวัยทำงานอายุ 25 ถึง 60 ปี

                     เนื้อสัตว์ 12 ช้อนกินข้าวต่อวัน (มื้อละ 4 ช้อนกินข้าว) สำหรับหญิง-ชาย ที่ใช้พลังงานมากเช่น นักกีฬา เกษตรกร และผู้ใช้แรงงาน

            ความเจ็บป่วยและภาวะโภชนาการ เด็กที่ขาดสารอาหารจะต้องการโปรตีนมากกว่าปกติ รวมทั้งคนป่วยหรือผู้เข้ารับการผ่าตัด ก็ต้องการโปรตีนมากกว่าคนปกติถึง 1-4 เท่า โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคตับ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง
          
            คุณภาพโปรตีน หมายถึง ปริมาณกรดแอมิโนที่จำเป็นและความสามารถในการย่อย ผู้ที่บริโภคโปรตีนน้อยจึงมีโอกาสได้รับโปรตีนคุณภาพน้อยกว่าปกติ

            ปริมาณพลังงาน ที่ได้รับโดยรวม หากได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงโปรตีน มาเป็นแหล่งพลังงาน จนอาจทำให้ขาดโปรตีนได้

            กิจกรรม การออกกำลังกายและการทำงานหนักทำให้เสียเหงื่อ และพลังงาน โปรตีนจึงเป็นแหล่งสารอาหารสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมและให้พลังงานแก่เซลล์

            อารมณ์และความเครียด มีส่วนให้ระดับไนโตรเจนในร่างกายเป็นลบ จึงต้องการโปรตีนมากขึ้นเพื่อปรับสมดุล 

          มีรายงานผลการวิจัยที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นว่า หากเราบริโภคโปรตีนให้เพียงพอไว้ตั้งแต่วัยกลางคน เมื่อแก่ตัวลง ร่างกายจะยังคงแข็งแรงกระฉับกระเฉงกว่าคนวัยเดียวกันที่ขาดโปรตีน ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้คนไทยควรบริโภคโปรตีนเฉลี่ยวันละ 50 กรัม หรือมื้อละประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ

จะเป็นอย่างไรเมื่อขาดโปรตีนหรือได้รับโปรตีนมากเกิน

            ขาดโปรตีน ภาวะขาดโปรตีนมักเกิดร่วมกับการขาดพลังงาน ส่วนใหญ่จะพบในเด็กเล็ก สังเกตได้จากอาการผอมแห้ง กล้ามเนื้อลีบ ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อการพัฒนาของสมอง ทำให้โตช้า ภูมิต้านทานต่ำ เจ็บป่วยง่าย ส่วนวัยอื่นๆ ที่มีอาการเจ็บป่วยหรือนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนาน ๆ ก็อาจทำให้ขาดโปรตีนได้เช่นกัน การเสริมสารอาหารประเภทโปรตีนในช่วงนี้จะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

            โปรตีนเกิน เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนมากเกินไป จะพบปริมาณยูเรียในเลือดสูง มีภาวะเลือดเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลให้ตับและไตทำงานหนัก ในการกำจัดยูเรียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ 

          มีอีกหนึ่งข้อควรระวังสำหรับการบริโภคโปรตีน คือ ในแต่ละวันไม่ควรบริโภคเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณพลังงานที่แนะนำต่อวัน (2,000 กิโลแคลอรี) โดยเฉพาะโปรตีนที่ได้จากอาหารเสริมชนิดเม็ด

เนื้อสัตว์ก่อโรคจริงหรือ

          ความเชื่อนี้คงไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะปัญหาต่างๆ ทั้งโรคมะเร็ง คอเลสเตอรอลสูง หรือโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น ล้วนมีสาเหตุสำคัญมาจากไขมัน ไม่ใช่จากเนื้อแดง แต่ในเนื้อสัตว์ที่เราเห็นว่าเป็นเนื้อล้วน ๆ ก็มีไขมันแฝงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (Invisible fat) ดังนั้น การบริโภคส่วนที่มีไขมันเยอะ ๆ เช่น หมูสามชั้น เนื้อติดมัน หรืออาหารทะเลที่มีคอเลสเตอรอลสูง ยิ่งไปทำให้เกิดการสะสมของไขมันชนิดไม่ดีในร่างกาย เป็นต้นทางของโรคร้ายต่าง ๆ นานา

          ทางที่ดี ควรเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ในส่วนที่มีไขมันน้อย หรือตัดส่วนไขมันที่มองเห็นได้ออกไปบ้าง และต้องไม่ลืมเลือกซื้อเนื้อสัตว์คุณภาพดีที่มีการผลิตได้มาตรฐาน จะช่วยให้ปลอดภัยจากสารเคมีและสิ่งตกค้างได้

          การกินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อระบบย่อยได้เช่นกัน โดยเฉพาะปราการด่านสุดท้ายอย่างลำไส้ใหญ่ ฉะนั้น หากคุณคือมีท เลิฟเวอร์ อย่าลืมรับประทานผัก ผลไม้และดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อให้ส่วนที่ร่างกายดูดซึมไม่ได้จากเนื้อสัตว์ ถูกขับถ่ายออกมาได้สะดวก ไม่ตกค้างจนก่อโรค

          สำหรับผู้ที่บริโภคเฉพาะพืชผัก คงเป็นการยากที่จะได้รับสารอาหารเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ H&C ขอแนะนำให้คุณเสริมคุณค่าทางอาหารด้วยไข่และนม จะดีต่อสุขภาพที่สุดค่ะ 

ขอขอบคุณที่มา  http://health.kapook.com/view9217.html

รวมเพลงลูกทุ่งฟังเพราะๆในวันสิ้นโลก 1

อาหารโปรตีน 7 อันดับ

                                                   แหล่งอาหารโปรตีน 7 อันดับ

        สำหรับท่านชายที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง “ฟิตปั๋ง” พร้อมอยู่เสมอ อาหารสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ โปรตีน โปรตีนใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมร่างกาย และเป็นพลังงานเมื่อถึงคราวจำเป็น เราจะขอแนะนำแหล่งโปรตีน 7 อันดับ ที่สำคัญคือซื้อหามาทานได้ง่าย 

       ไข่ นับว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพดีเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น ๆ ในคะแนนเต็ม 100 ไข่มีคะแนนถึง 94 ในไข่หนึ่งฟอง ประกอบขึ้นด้วย ไข่ขาวและไข่แดง ไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง โดยมีไขมันถึง 6 กรัม แต่มีโปรตีนเพียง 1.5 กรัม ส่วนไข่ขาวมีโปรตีนมากกว่าไข่แดงคือมีโปรตีนประมาณ 4.5 กรัม และที่สำคัญคือไม่มีไขมัน

       น้ำนม เป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงจะขาดการ ดื่มนมไม่ได้เลย น้ำนมมีคะแนนโปรตีน 82

      ปลา มีคะแนนโปรตีน 80 ซึ่งต่ำกว่าน้ำนมเพียงเล็กน้อย ถ้าจะว่าไปแล้วเนื้อปลาเป็นสารอาหารที่มีไขมันต่ำยกเว้นปลาดุก และปลาทุกชนิดที่ทำให้สุกโดยการทอด นอกจากเนื้อปลาจะมีสารอาหารโปรตีนแล้ว ในเนื้อปลายังมี สารอาหารชนิดหนึ่งมีชื่อว่า omega – 3 fatty acids ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจได้

          เนยแข็ง จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมซึ่งมีคะแนนสารอาหารโปรตีน 70 นอกจากโปรตีนแล้วเนยแข็งยังมี แคลเซียมและไวตามินเออีกด้วย เนยแข็งที่ทำจากนมเปรี้ยวจะมีไขมันต่ำ ส่วนเนยแข็งชนิดอื่นให้ไขมันสูง

           เนื้อสัตว์ มีคะแนนโปรตีนเป็น 68 เนื้อสัตว์ในที่นี้หมายถึง เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อสัตว์ปีก นอกจากเนื้อสัตว์จะให้โปรตีนแก่ร่างกายแล้ว เนื้อแดงไม่ติดมันยังประกอบไปด้วยสังกะสี วิตามินบี 12 เหล็ก และธาตุอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย การบริโภคเนื้อสัตว์ควรทำให้สุกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากอันตรายอันเกิดจากเชื้อโรคบางชนิด

           ถั่วเหลือง นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก และคุณภาพดี มีคะแนนสารอาหารโปรตีน 61 ถั่วเหลืองนอกจากมีราคาถูกแล้วยังปราศจากผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ตามถั่วเหลืองค่อนข้างย่อยยากสักหน่อย

            เมล็ดพืช ผลไม้จำพวกเปลือกแข็ง (เช่น เกาลัด มันฮ่อ มะพร้าว) และไม้จำพวกมีฝัก (เช่น กระถิน ถั่วลิสง) มีคะแนน สารอาหารโปรตีนระหว่าง 37-58 เนื่องจากเมล็ดพืชและผลไม้จำพวกเปลือกแข็งมีไขมันมากจึงไม่ควรบริโภคบ่อยนัก ส่วนถั่วถึงจะมีไขมันต่ำแต่ให้แคลอรีสูง

ขอขอบคุณที่มา  http://www.ranthong.com